วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติศาสตร์ศิลปกรรมตะวันตกในจังหวัดเชียงใหม่

ถ้าหากได้พบกับเครื่องจักรขนาดใหญ่แปลกตา ตั้งตระหง่านอยู่หน้าโรงแรมเล็กที่ดูเก่าแก่ ภาพที่เห็นคงจะสร้างความประหลาดใจไม่น้อยแก่ผู้ที่พบเห็น หรือเดินผ่านไปผ่านมาในย่านวัดพระสิงห์ เมื่อเข้าไปพิจารณากันใกล้ๆแล้ว จะเห็นว่าเจ้าเครื่องนี้มีโครงสร้างเป็นโลหะที่ออกแบบเป็นชิ้นส่วนต่างๆประกอบกันเป็นทรงสูงตระหง่านประมาณ 3 เมตร ให้ความรู้สึกมั่นคง ตัวโลหะมีสีเทา ผิวด้าน มีสนิมกรังอยู่บ้างเป็น texture ที่ชวนให้นึกถึงพลังและความแข็งแกร่ง ภายในโครงโลหะประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆที่ทำให้นึกถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อาทิ ชิ้นส่วนฟันเฟืองขนาดน้อยใหญ่ ทั่งเหล็กหนา ล้อที่ถูกเชื่อมกับเพลา และสกรูที่ยึดโลหะทุกๆชิ้นส่วนไว้ ให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนที่อย่างมั่นคง และทรงพลานุภาพ เมื่อมองจากภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่าเครื่องนี้คงมีอายุเก่าแก่อยู่พอประมาณ และเมื่อนำมาตั้งหน้าโรงแรมโบราณอันเป็นตึกปูนเตี้ยๆตามแบบอาคารชุมชนของชาวจีนนั้น จึงกลายเป็นประติมากรรมประดับสถานที่ที่ดูเข้ากับสภาพแวดล้อมเลยทีเดียว

คุณมาลินี โทณะวณิก หญิงชราเจ้าของโรงแรมสืบสวัสดิ์ และเจ้าของประติมากรรมตกแต่งที่ดูพิสดารชิ้นนี้ ได้อธิบายถึงประวัติความเป็นมาของประติมากรรมชิ้นแปลกนี้ว่า เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ใช้ในโรงงานเลื่อยไม้ของคุณพ่อของท่าน ซึ่งประติมากรรมที่นำมาตั้งไว้นี้เคยเป็นส่วนของเครื่องจักรที่ใช้เลื่อยไม้ โดยโรงงานของพ่อของท่านตั้งอยู่ที่ริมฝั่งน้ำปิงฝั่งตำบลฟ้าฮ่าม หากจะเท้าความถึงประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่สักนิดจะพบว่า สมัยนั้นเป็นสมัยที่มิชชันนารีชาวต่างชาติเข้ามาตั้งรกรากกันในจังหวัดเชียงใหม่ และได้นำวิทยาการความรู้ต่างๆเข้ามาด้วย รวมถึงโรงเลื่อยไม้ต่างๆที่พากันมาตั้งตามริมแม่น้ำปิงตั้งแต่ตำบลฟ้าฮ่าม ตำบลป่าตัน ลงมาถึงตำบลวัดเกตุ สาเหตุที่ตั้งริมแม่น้ำเนื่องจากสมัยนั้นใช้วิธีล่องท่อนซุงมาตามแม่น้ำเพื่อขนท่อนซุงขนาดใหญ่ก่อนที่จะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่โรงงาน หลังจากที่ยุคสมัยของโรงงานเลื่อยไม้ริมน้ำปิงหมดไป คุณมาลินีเห็นว่าเครื่องจักรนี้ก็ไม่ได้ใช้งานอะไร จึงแยกมาเฉพาะส่วนที่ใช้ตัดไม้ดังที่เห็นนี้นำมาตั้งโชว์หน้าโรงแรมของท่าน กลายเป็นประติมากรรมที่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์กว่าร้อยปี

คุณมาลินียังอธิบายอีกว่า เครื่องจักรเลื่อยไม้ชิ้นนี้นำเข้ามาจากประเทศเยอร์มนี นอกจากนี้ ท่านยังมีส่วนสายพานลำเลียงไม้ ที่ใช้ที่ต่อเข้ากับเครื่องจักรที่เป็นประติมากรรมที่เห็นอยู่นี้อีกด้วย ซึ่งในส่วนนั้นเองได้ตั้งแสดงไว้อยู่ภายในลานจอดรถของโรงแรมอีกด้วย

หากมองประติมากรรมชิ้นนี้ในแง่ของรูปแบบศิลปกรรมตะวันตก ก็สามารถมองได้ว่าประติมากรรมนี้มีรูปแบบในแนวของลัทธิ Futurism อย่างชัดเจน ศิลปะลัทธิ Futurism นั้นมีต้นกำเนิดในประเทศอิตาลี สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มีลักษณะเด่นตรงที่การแสดงถึงอานุภาพ ความแข็งแกร่งของนวัตกรรม พลังงานของเครื่องจักรกล และการเคลื่อนไหว ที่ลักษณะของศิลปะลัทธินี้มีรูปแบบดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการต่อต้านรูปแบบลักษณะศิลปกรรมยุคโบราณที่ดูเชยและล้าสมัย

รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม ได้เรียบเรียงความหมาย ประวัติ และคำจำกัดความของศิลปะลัทธิ Futurism ไว้ว่า

“Futurism เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางด้านศิลปะลัทธิหนึ่ง ปกติแล้วในวงการศิลปะจะไม่แปลคำนี้เป็นภาษาไทย คงใช้ในรูปทับศัพท์ว่าฟิวเจอร์ริสม์" โดยขบวนการเคลื่อนไหวนี้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในอิตาลี ราวช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มศิลปินอิตาเลียน แม้ว่าจะมีขบวนการทางศิลปะในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในรัสเซีย อังกฤษ และประเทศอื่นๆ ก็ตาม นักเขียนอิตาเลียนนาม Filippo Tommaso Marinetti ถือเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้มีอิทธิพลต่อลัทธิฟิวเจอร์ริสม์ โดยเริ่มต้นขบวนการด้วยแถลงการณ์ Futurist Manifesto ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1909 (นับถึง พ.ศ.นี้ 2009 ก็ครบ 100 ปีพอดี) ใน La gazzetta dell' Emilia, เป็นบทความชิ้นหนึ่งที่ต่อมาได้รับการเผยแพร่ซ้ำในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Figaro วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1909. ในแถลงการณ์ฉบับนี้ Marinetti ได้แสดงถึงความไม่เต็มใจอย่างรุนแรงเกี่ยวกับความเก่า ความโบราณคร่ำคร่าทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนบจารีตทางด้านศิลปะและการเมืองในรูปแบบเก่า ในแถลงการณ์เขาได้เขียนเอาไว้ว่า "เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว อดีตกาลทั้งหลาย เราคือคนหนุ่มสาวและความเข้มแข็ง, ฟิวเจอร์ริสท์". บรรดาฟิวเจอร์ริสท์ชื่นชมกับความเร็ว เทคโนโลยี ความเป็นหนุ่มและความรุนแรง รถยนต์ เครื่องบิน และเมืองอุตสาหกรรม ทั้งหมดคือตัวแทนแห่งชัยชนะด้านเทคโนโลยีของมวลมนุษยชาติเหนือธรรมชาติ และพวกเขาเหล่านี้เป็นนักชาตินิยมที่ร้อนแรง” (จาก http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=8981)

หากพิจารณาประติมากรรมชิ้นนี้ จะพบว่ามันได้แสดงถึงความแข็งแกร่งของตัวมันเองจากวัสดุภายนอกที่ทำด้วยโลหะ ความสง่าผ่าเผย จากรูปทรงที่ดูสูงตระหง่าน ความมั่นคง แข็งแรงจากวัสดุโลหะและการวางตัวในแนวตั้ง ความเคลื่อนไหวจากชิ้นส่วนพวกฟันเฟือง สกรูต่างๆ และล้อจักรที่ติดตั้งตามท่อนโครงเหล็ก ประติมากรรมนี้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของนวัตกรรมของมนุษย์ ที่สามารถสร้างเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อที่จะเอาชนะธรรมชาติได้ โดยไม่พึ่งพาพลังของเทพเจ้าหรือความเชื่อเก่าๆอันงมงายและล้าสมัย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของชาวเชียงใหม่ในอดีตที่จะก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมในขณะนั้น ทำให้ประติมากรรมชิ้นนี้ดูหึกเหิม มีความเคลื่อนไหว และทรงพลังตามอุดมคติของศิลปะลัทธิ Futurism ดังที่กล่าวมาแล้ว

จากที่กล่าวมาว่าประติมากรรมชิ้นนี้มีความเคลื่อนไหว หากจะกล่าวถึงการเคลื่อนไหว ก็คงจะหลีกเลี่ยง Kinetic Art ไม่ได้ Kinetic Art เป็นศิลปะที่ว่าด้วยการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหว ประติมากรรมชิ้นนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนกลไกต่างๆ อาทิ ฟันเฟือง ล้อและเพลา รอก ศิลปะชิ้นนี้จึงดูมีความเคลื่อนไหวแม้ว่าหยุดนิ่ง และเมื่อเดินกลไก เช่น หมุนล้อที่ติดอยู่ ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ (แต่สามารถทำได้จำกัดในบางส่วนเท่านั้น เพราะกลไกบางส่วนใช้งานไม่ได้แล้ว หรือถูกถอดออกไป และบางส่วนก็มีความฝืดเนื่องจากอายุของกลไก)

ในขณะเดียวกัน ประติมากรรมชิ้นนี้ยังคงมีลักษณะของศิลปกรรมตะวันตกในลัทธิ Cubism อีกด้วย ลัทธินี้ถือกำเนิดในประเทศฝรั่งเศสโดยมีผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการความรู้แขนงต่างๆ ทำให้ผู้คนรวมทั้งศิลปินมีความสนใจในด้านวิทยาการมากขึ้น ลัทธินี้มุ่งเน้นในด้านการสร้างรูปจากรูปทรงเรขาคณิต เช่นการแปลงรูปจริงที่เห็นให้กลายเป็นรูปทรงต่างๆ ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากรูปทรงทางสถาปัตยกรรมนั้นมีพื้นฐานมาจากรูปทรงเรขาคณิต นอกจากนี้ลัทธิ Cubism ยังมีอิทธิพลต่อการออกแบบกราฟิกในสมัยปัจจุบัน การออกแบบโปสเตอร์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกด้วย

จากการค้นคว้าทาง Internet ทำให้กลุ่มผู้จัดทำได้รับนิยามของลัทธิ Cubism ไว้ดังนี้

“ลัทธิ Cubism หรือบาศกนิยมเป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะอาวองการ์ดในศตวรรษที่ 20 ริเริ่มโดยปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso) และจอร์จส์ บราค (Georges Braque) ได้เปลี่ยนรูปโฉมของจิตรกรรมและประติมากรรมสไตล์ยุโรป รวมไปถึงดนตรีและงานเขียนที่เกี่ยวข้อง สาขาแรกของบาศกนิยมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Analytic Cubism (บาศกนิยมแบบวิเคราะห์)เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่มีอิทธิพลรุนแรงและมีความสำคัญอย่างมากในฝรั่งเศส แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักระหว่างค.ศ.1907 และ 1911 ความเคลื่อนไหวในช่วงที่สองนั้นถูกเรียกว่า Synthetic Cubism (บาศกนิยมแบบสังเคราะห์)ได้แพร่กระจายและตื่นตัวจนกระทั่ง ค.ศ. 1919 เมื่อความเคลื่อนไหวของลัทธิเหนือจริงเป็นที่นิยม…

…ในผลงานศิลปะของบาศกนิยมนั้น วัตถุจะถูกทำให้แตกเป็นชิ้น วิเคราะห์ และประกอบกลับขึ้นมาใหม่ในรูปลักษณ์ที่เป็นนามธรรมแทนที่จะแสดงวัตถุให้เห็นจากเพียงแค่มุมมองเดียว จิตรกรนั้นได้ถ่ายทอดวัตถุจากหลายแง่มุมเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงวัตถุที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้น บ่อยครั้งนักที่ผืนราบดูเหมือนจะตัดกันในมุมที่เป็นไปโดยบังเอิญ ปราศจากความสอดคล้องของความลึก ส่วนพื้นหลังและผืนราบแทรกเข้าไปในระหว่างกันและกันเพื่อที่จะทำให้เกิดพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนอย่างผิวเผิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะ” (จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ลัทธิบาศกนิยม)

ประติมากรรมชิ้นนี้ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่างๆมากมาย อันเนื่องมาจากการออกแบบให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต ดังเช่น แท่งโลหะรูปทรงต่างๆ อาทิ ทรงปริซึมสี่เหลี่ยม ทรงกระบอก ล้อจักรที่มีรูปร่างเป็นวงกลม ฟันเฟืองต่างๆก็ล้วนแต่เป็นผลพวงทางเรขาคณิตทั้งสิ้น ประติมากรรมชิ้นนี้จึงมีรูปทรงเรขาคณิตหลากหลายประเภทประกอบอยู่มากมาย แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านวิทยาการ ความก้าวหน้าด้านการออกแบบเครื่องไม้เครื่องมือของมนุษย์ และจากการที่มีส่วนประกอบเป็นรูปทรงเรขาคณิต ทำให้ศิลปะประเภทนี้รวมถึงประติมากรรมชิ้นนี้มีให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย

นอกจากนี้ ประติมากรรมชิ้นนี้ยังแสดงถึงแนวคิดทางศิลปะแบบ Conceptual Art อีกด้วย ศิลปะแบบ Conceptual Art เป็นศิลปะเกี่ยวกับความคิด กล่าวคือใช้ความคิดในงานศิลปะสำคัญกว่ารูปร่างหน้าตาผลงานที่ออกมา

Sol LeWitt หนึ่งในผู้คิดริเริ่ม Conceptual Art กล่าวไว้ว่า

“In conceptual art, the idea or concept is the most important aspect of the work. When an artist uses a conceptual form of art, it means that all of the planning and decisions are made beforehand and the execution is a perfunctory affair. The idea becomes a machine that makes the art.”

ซึ่งแปลได้ว่า
“การสร้างศิลปะเชิงแนวคิด ความคิดหรือแนวคิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการสร้างงาน เมื่อศิลปินใช้รูปลักษณ์ของศิลปะเชิงแนวคิดก็จะหมายความว่าการวางแผนและการตัดสินใจที่จะสร้างงานได้รับการทำไปแล้ว การสร้างงานจริงจึงเป็นการทำอย่างเป็นพิธีเท่านั้น ความคิดกลายมาเป็นเครื่องมือในการสร้างงานศิลปะ” (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Conceptual_art)

แนวคิดนี้ตรงกับความคิดของคุณมาลินี โทณะวณิก เจ้าของโรงแรมสืบสวัสดิ์ ผู้ริเริ่มความคิดนำเอาเครื่องจักรที่ใช้เลื่อยไม้ที่มีอายุกว่าร้อยปี มาเป็นประติมากรรมตกแต่งโรงแรมเก่าแก่ของท่าน พร้อมทั้งวางกระถางต้นไม้ต้นน้อยๆเรียงไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางกระถางธูปไว้สำหรับบูชาตามความเชื่อของท่านไว้ติดกับเครื่องนี้ ซึ่งแตกต่างจากโรงแรมละแวกใกล้เคียง ที่เน้นความเป็นโมเดิร์นของอาคาร เน้นการประดับแสง สี ให้ชวนเข้าพัก หรือถ้ามีประติมากรรม ก็มักจะเป็นประติมากรรมปูนเปลือย ในสไตล์เรียบๆเก๋ๆแบบ Minimalism เมื่อมาเห็นสไตล์การตกแต่งดังนี้จึงเป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้พบเห็นเกิดความคิดว่าเจ้าเครื่องนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร ผู้คนบางท่านก็อาจจะคิดว่าเป็นเครื่องจักรที่นำมาประดับโรงแรมให้ดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในละแวกนั้น รวมถึงนักท่องเที่ยวและนักทัศนาจรบางท่าน แต่ในอีกมุมมองก็อาจจะคิดได้ว่าคุณยายมาลินีท่านอาจจะนำเครื่องนี้มาตั้งเพื่อรำลึกถึงอดีตของครอบครัวท่าน ของจังหวัดเชียงใหม่ หรืออาจจะเป็นอนุสรณ์แสดงความเก่าแก่และมนต์ขลังของเครื่องจักรกลสมัยเก่าก็ได้ Conceptual Art นั้นเน้นความคิดที่มีลักษณะแปลกใหม่ ดึงดูดใจผู้ชม ซึ่งการที่คุณมาลินี โทณะวณิก นำเอาเครื่องจักรชิ้นนี้มาตั้งให้เป็นจุดสนใจ ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ขบคิด เท่านี้ก็ถือว่าความคิดของท่านเป็น Conceptual Art เรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องของ Conceptual Art ยังสามารถจำแนกได้เป็น Performance Art, Land Art, Mixed Art, และ Installation Art ได้อีกด้วย ในส่วนของเครื่องนี้ในมุมมองของกลุ่มผู้เขียน คาดว่าน่าจะเป็น Conceptual Art ประเภท Installation Art หรือศิลปะการจัดวาง ศิลปะการจัดวางนี้หากจะอธิบายตามที่กลุ่มผู้จัดทำเข้าใจ คือศิลปะที่ใช้ความคิดคำนึงถึงสถานที่ที่ใช้จัดงานศิลปะเป็นหลัก ในกรณีของคุณมาลินีนั้น เนื่องจากท่านสร้างโรงแรมมาก่อน และคาดเดาว่าท่านอาจจะเห็นว่าพื้นที่หน้าโรงแรมนั้นโล่งเกินหรือต้องการจะตกแต่งด้วยอะไรให้ดูมีเอกลักษณ์หรือด้วยความคิดหรือเหตุผลใดก็ตามแต่ ท่านจึงได้นำเครื่องจักรชิ้นนี้มาตั้งไว้ แสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงสถานที่ที่จะใช้จัดวาง เป็นการใช้ความคิดเพื่อที่จะจัดวางสิ่งต่างๆ จึงจัดเป็น Installation Art ได้อีกด้วย

หากจะนิยามคำว่า Installation Art เพิ่มเติม ทางกลุ่มผู้จัดทำได้พบคำอธิบายจาก Internet ไว้ว่า

“ในปัจจุบัน การสร้างงานศิลปะอาจไม่จำเป็นจะต้องสร้างสรรค์ผลงานลงบนผ้าใบเสมอไป อาจนำวัสดุที่เหลือใช้ หรือสร้างขึ้นมาใหม่ มาจัดวางบนผนัง พื้น ในหอศิลป์ หรือนอกบริเวณ เช่น สนาม แม่น้ำ ภูเขา เรียกว่า สามารถเล่นกับสถานที่ SPACE พื้นที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ” (จาก http://www.peseenam.com/coffee_board/index.php?action=vthread&forum=1&topic=610)

ก่อนที่จะถึงบทสรุป ทางกลุ่มผู้เขียนก็อยากเผยแพร่ความประทับใจส่วนบุคคลต่อประติมากรรมที่ได้ไปพบเห็นมาชิ้นนี้ ซึ่งถ้าหากจะเริ่มเล่าก็ขอเล่าตั้งแต่ตอนเดินตระเวนไปตามชุมชนย่านวัดพระสิงห์ เราได้พบศิลปกรรมรูปแบบต่างๆที่น่าสนใจตลอดทาง ซึ่งก็มีความน่าสนใจมากน้อยแตกต่างกันไป แต่เมื่อกลุ่มของเราเดินมาถึงหน้าโรงแรมสืบสวัสดิ์ พวกเราทุกคนก็สะดุดตากับเครื่องจักรโลหะชิ้นประหลาดที่ตั้งแสดงอย่างองอาจหน้าโรงแรม ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเครื่องเลื่อยไม้ชิ้นโบราณอันเป็นประติมากรรมของคุณมาลินีผู้เป็นเจ้าของโรงแรมนั่นเอง

ทัต หนึ่งในสมาชิกกลุ่มของพวกเราได้อธิบายว่า ครั้งแรกที่พบกับเครื่องจักรชิ้นนี้ ก็คิดว่าเป็นเครื่องตัดเหล็กโบราณที่ดูเด่นขึ้นมาจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆรอบข้างโรงแรม เนื่องจากรูปทรงที่บ่งบอกถึงอายุอันเก่าแก่ของมัน และเขาก็ได้สะดุดตากับกระถางเล็กๆที่เป็นที่ปักธูปแดงหลายก้านวางติดอยู่กับเครื่องนี้ จึงสงสัยว่าเจ้าของเครื่องมีจุดประสงค์จะบูชาเครื่องจักรเก่าแก่นี้หรือว่าเพราะเหตุอื่นใด พอได้ทราบความจริงจากคุณมาลินีว่าเป็นเครื่องเลื่อยไม้โบราณ อันเป็นมรดกตกทอดมาจากสมัยคุณพ่อของท่าน ท่านเห็นว่าไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงนำมาตั้งไว้หน้าโรงแรมของท่าน ข้อสงสัยต่างๆจึงได้กระจ่างว่าเจ้าของโรงแรมท่านต้องการ“โชว์”ของเก่าที่ท่านมี และความเป็นมาของตระกูลท่าน

ปลาย อีกหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประติมากรรมชิ้นนี้ว่า จากที่เขาได้ตระเวนดูเหล่าศิลปกรรมรูปแบบต่างๆ ก็เห็นว่าศิลปกรรมหลายๆสิ่งที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อได้เดินมาที่หน้าโรงแรมสืบสวัสดิ์แห่งนี้ ได้พบกับประติมากรรมโครงเหล็ก ก็ได้รู้สึกว่ามันดูแตกต่างจากศิลปกรรมชิ้นอื่นๆที่เพิ่งเคยเจอมาก่อนหน้านี้ และเห็นว่ามีชิ้นส่วนต่างๆเช่น ฟันเฟือง ล้อเหล็ก หรือโครงเหล็กต่างๆ ทำให้เป็นจุดเด่นในละแวกนั้น จึงเกิดความประทับใจในตัวผลงาน ซึ่งก็ดูชวนสงสัยให้คิดว่าเจ้าของผลงานต้องการสื่อเรื่องราวอะไรออกมาจากประติมากรรมชิ้นนี้ และเกิดคำถามต่างๆ เมื่อพบกับคุณมาลินีเจ้าของโรงแรม ท่านก็มีใจเมตตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับแนวคิดการจัดประติมากรรมของท่านและประวัติความเป็นมาของสิ่งที่ท่านนำมาจัดวาง ทำให้ได้รู้เรื่องราวในอดีตมากมายผ่านทางงานศิลปะชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็น อดีตของวงศ์ตระกูลของท่านเจ้าของโรงแรม อดีตของเชียงใหม่ และความเป็นมาของเครื่องจักรนี้ ท้ายที่สุดจึงคิดเห็นว่า ประติมากรรมชิ้นนี้สมควรแก่การเผยแพร่แก่ผู้คนท่านอื่นๆ

กิ๊ฟท์ สมาชิกอีกคนหนึ่ง ก็ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า เมื่อแรกที่พบเห็น ก็รู้สึกว่าเจ้าประติมากรรมสิ่งนี้ดูยิ่งใหญ่มีพลัง และแสดงความแข็งแกร่ง และได้คิดว่าเจ้าของคงจะเป็นชายวัยกลางคนที่ชื่นชอบเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือกลไกต่างๆ ต้องการที่จะนำมาตั้งแสดงไว้ แต่เมื่อพบว่าประติมากรรมชิ้นนี้ มีประวัติอันยาวนานจากเจ้าของหรือคุณยายมาลินีผู้ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าของเครื่องนี้อีกที ก็รู้สึกประทับใจ และทำให้ประติมากรรมนี้ดูยิ่งใหญ่ ทรงคุณค่า ทรงพลังและเปี่ยมด้วยความขลังมากกว่าแรกพบ และรู้สึกประทับใจในตัวของคุณมาลินี เจ้าของประติมากรรมชิ้นนี้ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดหาวิธีจัดวางอุปกรณ์เก่าๆที่ไม่ใช้แล้ว ให้กลายเป็นจุดเด่นของโรงแรมได้ และผลงานชิ้นนี้ยังชวนให้คิดถึงเจตนารมณ์ของผู้จัดแสดงว่าต้องการจะสื่ออะไรออกมาอีกด้วย จึงเป็นผลงานที่ควรเผยแพร่แก่ผู้ชมท่านอื่นๆ

ท้ายที่สุดนี้ ทางกลุ่มผู้เขียนก็อยากจะเชิญชวนผู้ที่อ่านบทความนี้ ได้ไปลองชมประติมากรรมชิ้นนี้ที่หน้าโรงแรมสืบสวัสดิ์ของคุณมาลินี หรือหากจะสนับสนุนโรงแรมของคุณมาลินีก็สามารถไปได้ โรงแรมนี้เหมาะกับท่านผู้อยากจะเดินทางแบบ Backpacker เนื่องจากห้องพักราคาถูก อยู่ใจกลางเมือง บริการ 24 ชั่วโมง ตัวประติมากรรมและโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่เยื้องๆทางด้านขวากับหน้าวัดพระสิงห์ อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน และทางกลุ่มผู้เขียนก็ขอขอบพระคุณเจ้าของศิลปกรรมต่างๆเป็นอย่างสูง ที่เอื้อเฟื้อผลงานต่างๆให้สมาชิกของกลุ่มเราได้ชม อันได้แก่โรงแรม de Lanna, รุ่ง รุ่ง รุ่ง Art Gallery, โรงแรมศรีสวัสดิ์ และคุณมาลินี โทณะวณิก มา ณ ที่นี้ และก็ขอขอบพระคุณผู้ที่สนใจและติดตามอ่านบทความนี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น